ใช้ชีวิตอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง : คำแนะนำจากแพทย์ญี่ปุ่น

ไลฟ์สไตล์

ปัจจุบันนี้เราจะพบว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งเป็นโรคที่เราทุกคนมีโอกาสเสี่ยงและเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในยุคนี้พอๆกับโรคหัวใจเลยทีเดียวซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆรวมไปถึงโรคมะเร็งก็คือการดำเนินชีวิตหรือการใช้ชีวิตของเรานั่นเองสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเข้าใกล้ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น คือเรื่องของการรับประทานอาหารร่วมไปถึงการออกกำลังกายแน่นอนว่าไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิตของเรา  เป็นไปด้วยความเร่งรีบ  อาหารจานด่วนอาหารประเภทปิ้งย่างจึงเป็นสิ่งที่ เราเลือกบริโภคมากที่สุดเป็นต้นว่าหมูปิ้งข้าวเหนียว  ไก่ย่างส้มตำ  ประเภทควันโขมงแต่รสชาติอร่อยล้ำนอกจากที่จะเป็นอาหารของเราแล้วยังเป็นอาหารชั้นเลิศของเชื้อมะเร็งอีกด้วยและสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือเราทุกคนมีโอกาสเสี่ยงหรือมีเชื้อมะเร็งอยู่ในตัวเพียงแต่ว่าเราให้อาหารแบบไหนกับตัวเองซึ่งเราให้อาหารที่เป็นอาหารของเซลล์มะเร็งความเสี่ยงในการที่เราจะเป็นโรคร้ายนี้ก็เพิ่มสูงมากขึ้นนั่นเองตรงกันข้ามถ้าหากเราเลือกบริโภคอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพเราก็จะห่างไกลความเสี่ยงเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากนี้แล้วการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานอยู่เสมอก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันแต่อย่างไรก็ดีก็ไม่ใช่ว่าคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีจะห่างไกลการเป็นโรคมะเร็งหรือไม่มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคนี้เลยเพราะนอกจากนี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่ส่งผลต่อการเป็นโรคมะเร็งนั่นเอง ซึ่งในทางการแพทย์ โดยการวิจัยและคำแนะนำจากแพทย์ชาวญี่ปุ่นได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและการดูแลตัวเองเพื่อให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งเอาไว้ว่า ” การรับประทานอาหารไม่ว่าจะทานอะไรก็ตามจะต้องทานอย่าง balanced และเราจะต้องได้รับสารอาหารอย่างสมดุลรวมถึงได้รับปริมาณอาหารอย่างสมดุลด้วยไม่เน้นหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะแต่สิ่งที่เราจะต้องพึงระวังมากที่สุดในการรับประทานหรือในการปรุงอาหารคือส่วนผสมของเกลือในอาหารซึ่งสัดส่วนที่เราควรจะบริโภคคือสำหรับผู้ชายใน 1 วันควรจะรับเกลือไม่เกิน 8 กรัมและสำหรับผู้หญิงไม่เกิน 7 กรัม ซึ่งหากเปรียบเทียบปริมาณ 1 ช้อนชามีปริมาณเกลือ 5 กรัมและเราสามารถตวงหรือวัดปริมาณเกลือจากช้อนชาหรือช้อนได้เลยค่ะ [Read More…]

ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นคนแยกตัวจากสังคม

วิถีชีวิต

ด้วยวิถีชีวิต ของเราในปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ทุกสังคมมีการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการทำงาน แม้กระทั่งการใช้ชีวิตปกติในสังคม และสิ่งที่สำคัญคือในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีและความเจริญรุ่งเรืองเกิดขึ้นมากมายโลกโซเชียลเป็นสิ่งที่หลายคนพูดถึงและเป็นสิ่งที่เราทุกคนใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ การมีเทคโนโลยีและความทันสมัยทางด้านเครื่องมือสื่อสาร รวมไปถึงความล้ำหน้าทางด้านนวัตกรรมต่างๆเป็นข้อดีที่ทําให้สังคมและโลกของเราเจริญขึ้นแต่สิ่งหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือความเจริญย่อมมาพร้อมกับความเสื่อมเมื่อเทคโนโลยีเจริญขึ้นแต่อีกมุมหนึ่งกลับเสื่อมลงคงไม่ต้องบอกหลายคนก็คงจะเดาได้ว่าสิ่งที่เสื่อมโทรมลงไป คือสังคมของเรานั่นเอง ความเจริญที่ว่านั้นมีผลทำให้สังคมเราเสื่อมโทรมลงไปเราใช้มือถือกันมากขึ้นจนหลายคนเรียกว่าสังคมก้มหน้าเราให้ความสำคัญกับโลกออนไลน์มากกว่าการที่จะได้พบปะพูดคุยและเปลี่ยนบทสนทนาและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันแม้กระทั่งบนโต๊ะอาหารในบ้านที่พ่อแม่ลูกควรจะได้พูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกกลับก้มหน้าก้มตาอยู่กับมือถือและอยู่ในสังคมของตนเองหรืองานที่กำลังทำไม่ว่าจะเป็นการติดต่อลูกค้าหรือจะสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์มือถือนั่นเองทำให้ในปัจจุบันนี้มีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นในสังคมนั้นก็คือปัญหาการแยกตัวจากสังคมนั่นเอง การดำเนินชีวิตเพื่อห่างไกลการแยกตัวจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตของเราเองในวัยผู้ใหญ่หรือการเลี้ยงดูพ่อแม่รวมไปถึงพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างเกราะกำบังปัญหาต่างๆเหล่านี้ให้กับคนที่เรารักหรือแม้กระทั่งตัวเราเองก็ตามซึ่งในวิถีชีวิตหรือและสไตล์ของเราเรามีสิ่งที่จะต้องปรับทัศนคติของเราในเรื่องต่างๆดังนี้ สร้างความแข็งแกร่งในจิตใจให้กับคนที่เรารักด้วยการทำความเข้าใจทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตรวมไปถึงให้ความรักความอบอุ่นและสัมผัสกันด้วยการโอบกอดอยู่เสมอเพราะนี่คือเป็นสิ่งที่จะสร้างพลังใจให้ใครคนใดคนหนึ่งเข้มแข็งขึ้นมาได้ ถ้าหากคุณเป็นคนที่จะต้องเลี้ยงดูลูกน้อยให้พาลูกของคุณไปเล่นที่สนามเด็กเล่นหรือไปเจอเพื่อนในวัยเดียวกันในสังคมใดสังคมหนึ่งซึ่งการที่ลูกน้อยได้เจอสังคมเขาจะรักความรู้สึกสนุกสนานที่ได้เจอเพื่อนฝูง ทำให้ไม่รู้สึกแปลกแยกและปรับตัวเข้ากับสังคมได้ง่าย ไม่คาดหวังหรือกดดันลูกให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเช่นคาดหวังกับผลการสอบของลูกหรือส่งลูกไปเรียนกวดวิชาจนเยอะแยะมากมายเกินไปเพราะอยากให้ลูกสอบติดในโรงเรียนที่ดีหรือคณะดีๆรวมทั้ง คาดหวังให้ลูกทำอาชีพที่พ่อแม่ต้องการเพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้อาจจะทำให้ลูกของคุณเกิดความรู้สึกอึดอัดและกดดันจนไม่อยากจะพบเจอใครในสังคมรวมกระทั่งตัวพ่อแม่เอง ปลูกฝังทัศนคติที่ดีและการมองโลกในทิศทางบวกเสมอให้กับลูกและคนในครอบครัวฝึกนิสัยการยอมรับความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ในชีวิตของเราแล้วไม่กล่าวโทษไม่กดดันในกรณีที่มีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวเป็นต้น